เลือกตั้งและการเมือง

นายกฯชี้ไทยเสียโอกาสไม่ได้ ต้องยอมเสี่ยงเปิดประเทศ รับ นทท.ไร้กักตัว 1 พ.ย.

9 มี.ค. 2565

11 views

นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวไร้กักตัว 10 ชาติ เริ่ม 1 พ.ย. นี้ ยอมรับการตัดสินใจแบบนี้เสี่ยง ต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด มองเสียโอกาสดึงเงินนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ 2 ปีติดไม่ได้ ชี้หากมีสายพันธุ์ใหม่ที่อันตรายเกิดขึ้นอีก พร้อมหามาตรการที่เหมาะสมควบคุม


พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เวลา 20.30 น. เรื่อง การเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว


โดยระบุว่า 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา ได้ผ่านความท้าทายที่หากไม่นับช่วงเวลาศึกสงคราม นี่ถือเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นวิกฤตการณ์ที่ไม่มีใครในประเทศไม่ได้รับผลกระทบ


และเช่นเดียวกัน ก็ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งถือเป็นความหนักใจที่สุดในชีวิตของตน ที่ต้องตัดสินใจเลือก ระหว่างปกป้องชีวิตคนกับปกป้องการทํามาหากิน ซึ่งเป็น 2 ทางเลือกที่ไม่สามารถแยกขาดออกจากกันได้เมื่อเราเลือกที่จะปกป้องชีวิตประชาชน


แต่กลับต้องทําให้ชีวิตเหล่านั้นพบเจอกับความยากลําบากในการทํามาหากิน ต้องอยู่อย่างไม่มีรายได้ หรือหากเราเลือกที่จะปกป้องการทํามาหากินตามปกติของประชาชน และคงต้องเจอกับการสูญเสียชีวิตที่อาจจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้านหรือแม้กระทั่งคนที่เป็นเสาหลักที่หาเลี้ยงครอบครัว


การต้องเจอกับทางเลือกแบบนี้ทําให้เราต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ช้าไม่ได้ และเราทําแบบ รอดูสถานการณ์ก่อน ไม่ได้ ดังนั้น ตั้งแต่แรกเริ่มที่เราต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตนเลือกที่จะไม่ยอมให้มันมาพรากเอาชีวิตของพี่น้องคนไทยไป เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก


ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนได้ตัดสินใจอย่างชัดเจนแน่วแน่ ปฏิบัติตามคําแนะนําของผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุขที่ยอดเยี่ยมที่มีอยู่มากมาย และจะดำเนินการลงมือทําอย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้มาตรการที่เข้มงวดต่างๆ พร้อมกับขอความร่วมมือจากประชาชนคนไทย


ด้วยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในสังคม เผชิญหน้ากับวิกฤตที่เกิดขึ้น วันนี้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสําเร็จมากที่สุดในโลกในการปกป้องรักษาชีวิตของประชาชนและด้วยความเสียสละอย่างมหาศาล อดทนเจอกับความยากลําบากในการทํามาหากิน สูญเสียรายได้ สูญเสียเงินเก็บ ธุรกิจพัง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่แลกไป เพื่อรักษาชีวิตของประชาชน ให้พวกยังคงอยู่ในวันนี้


โดยในวันนี้ความเสี่ยงในเรื่องการสูญเสียชีวิตที่จะเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19ในประเทศไทย กําลังค่อยๆ ลดลง ถึงแม้ว่า ความเสี่ยงนั้นจะยังมีอยู่ และยังต้องระวัง รักษาความสามารถของระบบสาธารณสุข โรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ของเราอยู่ก็ตาม


นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องค่อยๆ เตรียมตัว กล้าที่จะเผชิญหน้ากับโควิด-19 โดยมีความพร้อมเรื่องยารักษาและวัคซีนป้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปอีกไม่นาน จะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับมันเหมือนกับโรคภัยอื่นๆ ที่กลายเป็นโรคประจําถิ่น พร้อมกับระบุว่า วันนี้ตนอยากประกาศ หนึ่งก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่สําคัญ ที่เรากําลังจะเดินหน้า บนเส้นทางที่จะช่วยให้ประชาชน สามารถกลับมาทํามาหาเลี้ยงตัวเองกันได้อีกครั้ง


ในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวสําคัญของประเทศไทยต่างค่อยๆ เริ่มอนุญาตให้ประชาชนเดินทางได้โดยไม่มีเงื่อนไขที่ยุ่งยากมากมาย เช่น อังกฤษที่อนุญาตให้ประชาชนเดินทางมาประเทศไทยได้โดยไม่ยุ่งยาก หรือ สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ก็เพิ่งเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไข ในการเดินทางไปต่างประเทศของประชาชน


โดยความคืบหน้าที่เกิดขึ้นแบบนี้ แม้ยังต้องระมัดระวัง แต่ก็ต้องเดินหน้าให้ไว เพื่อไม่ให้เสียโอกาส ที่อย่างน้อย เราจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวมาได้บ้าง ในช่วงเทศกาล เดินทางท่องเที่ยววันหยุดสิ้นปีใน 3 เดือนข้างหน้านี้เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการทํามาหากินของประชาชนนับล้านๆคน ในภาคการท่องเที่ยว การเดินทาง และภาคธุรกิจ


เพราะฉะนั้น วันนี้ตนได้สั่งการให้ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. และ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิจารณา โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องกักตัว


สําหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศ ซึ่งเป็นประเทศความเสี่ยงตํ่า โดยมีเงื่อนไขว่าเมื่อเดินทางเข้าประเทศไทย ทุกคนต้องแสดงตัวว่าปลอดเชื้อโควิด-19 โดยต้องมี หลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR


ซึ่งทําการตรวจก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย หลังจากนั้น จึงสามารถเดินทางไปพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างอิสระ เช่นเดียวกับที่คนไทยปกติทั่วไปสามารถทําได้


โดยในเบื้องต้นเริ่มต้นกําหนดรายชื่อประเทศความเสี่ยงตํ่า ที่จะสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว ไว้ที่อย่างน้อย 10 ประเทศ ซึ่งจะรวมประเทศ อย่างเช่น อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และอเมริกา โดยตั้งเป้าจะเพิ่มจํานวนประเทศให้มากขึ้นอีก ภายในวันที่ 1 ธันวาคม และหลังจากนั้น ภายในวันที่ 1 มกราคม จะเพิ่มจํานวนประเทศให้มากขึ้นอย่างกว้างขวาง


ส่วนผู้ที่มาจากประเทศ ที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศความเสี่ยงตํ่า เรายังให้การต้อนรับเข้าประเทศไทย แต่จําเป็นต้องมีการกักตัว ตามเงื่อนไขและข้อกําหนดซึ่งภายในวันที่ 1 ธันวาคม จะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ในร้านอาหารได้


และจะพิจารณาอนุญาตให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานบันเทิง เปิดให้บริการได้ ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว การพักผ่อนและบันเทิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เรากําลังจะเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสปีใหม่


นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ตนรู้ว่าการตัดสินใจแบบนี้มีความเสี่ยง ที่เกือบจะแน่นอนเลยว่า เมื่อเริ่มต้นการผ่อนคลายต่างๆ จะทําให้มีจํานวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เป็นการชั่วคราว ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินดูว่า จะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร และต้องไม่ปล่อยโอกาสนี้ เพราะถ้าเราต้องเสียโอกาส ในช่วงเวลาทองของการทํามาหากินไปอีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันตนคิดว่าประชาชนคงรับมือไม่ไหวอีกต่อไป


แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเห็นว่าในสองสามเดือน หรือสี่เดือนข้างหน้า มีสายพันธุ์ใหม่ที่อันตราย มากๆ เกิดขึ้นอีก แน่นอนว่าก็ต้องจัดมาตรการที่เหมาะสมและพอเหมาะพอดีมาจัดการคุม สถานการณ์เอาไว้ให้ได้ เมื่อเรารู้ว่า ไวรัสนี้ได้ทําให้ทั่วทั้งโลกต้องตกใจมาแล้วหลายรอบ ดังนั้นจะต้องพร้อมรับมือ หากมันเกิดขึ้นอีก


โดยเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตนได้ตั้งเป้าที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว ให้ได้ภายใน 120 วัน พร้อมกับเร่งเครื่องการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ซึ่งวันนี้ตนขอใช้โอกาสนี้ชื่นชมความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ ของเจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุขทุกท่าน เจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงาน ส่วนงานอื่นๆ รวมถึงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน สําหรับความร่วมมือของทุกภาคส่วน ที่ตอบสนองต่อคําร้องขอ ของผม เมื่อเดือนมิถุนายน


หลังจากที่เราตั้งเป้า 120 วัน ก็ได้มีความพยายามอย่างเต็มที่ ทําทุกวิถีทางเพื่อจัดหาวัคซีนมาให้ได้เพิ่มมากขึ้น และแย่งชิงกับประเทศอื่น เพื่อให้เราได้รับส่งมอบวัคซีนเข้ามา ซึ่งทั้งหมดนี้ประสบความสําเร็จอย่างมาก


การรับส่งมอบวัคซีนของประเทศไทย เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ถึง 3 เท่าในทันที จากที่เดือนพฤษภาคม เราได้รับส่งมอบวัคซีน 4 ล้านโดส กลายเป็นได้รับส่งมอบวัคซีน ถึง 12 ล้านโดสในเดือนกรกฎาคม


และได้รับส่งมอบวัคซีน อีกถึงเกือบ 14 ล้านโดสในเดือนสิงหาคม และวันนี้จะได้รับส่งมอบวัคซีนเข้า ประเทศไทย ถึงมากกว่า 20 ล้านโดสต่อเดือน ไปจนถึงสิ้นปี รวมเป็นวัคซีนจํานวนมากกว่า 170 ล้านโดส เกินเป้าหมายที่เราตั้งไว้เป็นอย่างมาก


ในขณะเดียวกัน เพื่อที่จะสนับสนุนเป้าหมาย 120 วัน เจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุข ได้ทํางานกันอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย เร่งเครื่องการฉีดวัคซีน รวมทั้งประชาชนต่างก็ให้ ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ในการลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีน ถึงแม้ว่าจะมีความไม่ สะดวกสบายในเรื่องของการนัดหมายบ้างก็ตาม


ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ จากเดิมที่เราฉีดวัคซีนได้อยู่ที่ประมาณ 80,000 โดสต่อวัน เมื่อเดือนพฤษภาคม แต่หลังจากการตั้งเป้า 120 วัน เพียงหนึ่งเดือน จํานวนการฉีดวัคซีนต่อวันของประเทศไทย พุ่งขึ้นทันที ทีมสาธารณสุข ของไทย ดันยอดการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า และดัน ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ประเทศไทย ติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เร็วที่สุดในโลก


ปัจจุบัน เฉลี่ยแล้ว เราฉีดวัคซีนได้ มากกว่า 700,000 โดสต่อวัน และในบางวัน เราฉีดวัคซีนได้มาก เกินกว่า 1 ล้านโดสก็ยังมี ภายหลังการตั้งเป้า120 วัน เปิดประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว


เมื่อกลางเดือนมิถุนายน เพียงไม่นาน ทั้งโลกต้องเจอกับการแพร่ระบาดที่รุนแรงของสายพันธุ์เดลต้า ที่ทําให้มีจํานวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงมากทั้งโลก ในช่วงเดือนสิงหาคม


เช่นเดียวกับในประเทศไทย ตอนนั้นหลายคน คงทําใจแล้วว่า ไม่น่าจะสามารถเปิดประเทศ โดยไม่ต้องกักตัวได้ภายในปีนี้ ตอนนี้แม้ว่าสถานการณ์ในหลายๆ ประเทศยังคงต่อสู้กับเดลต้าอยู่ แต่การที่กําลังจะสามารถเริ่มเปิดให้เข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป


การที่เราทําแบบนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงความสําเร็จ ของการที่คนไทยร่วมมือกัน ทํางานด้วยความมุ่งมั่น และเป็นหนึ่งเดียว ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หน่วยงาน องค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน


รวมถึงความร่วมมือกันของประชาชนคนไทยทุกคนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ประเทศไทยได้ทําสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนสามารถภูมิใจ ได้กับการมีส่วนร่วม ที่ทําให้ความสําเร็จนี้เกิดขึ้น และเกิดขึ้นถูกเวลา เพราะเป็นช่วงเวลาพร้อมๆ กับที่ประเทศอื่นเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไขและข้อจํากัด ในการเดินทางของประชาชนของเค้าด้วย เหมือนกัน


นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวให้เข้า ประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/wt1N6odd2fc

คุณอาจสนใจ

Related News